6 เคล็ดลับการสร้างหลักสูตรอบรมสุดปัง ฉบับผู้เชี่ยวชาญด้าน Learning Design
ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวันนี้ การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญมากครับ โดยเฉพาะในองค์กร ที่ต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวันนี้ การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญมากครับ โดยเฉพาะในองค์กร ที่ต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ
แต่การออกแบบการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ผู้เรียนเป็นใคร เรียนรู้อย่างไร และจะนำความรู้ไปใช้ในบริบทจริงได้อย่างไร
“6 หลักการออกแบบการเรียนรู้” (The Six Principles of Learning Design) ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักวิจัย ดร.เฮเลน บาวด์, ดร.อาเธอร์ เชีย และแอนนี่ คาร์เมล จากศูนย์การทำงานและการเรียนรู้ (Centre for Work and Learning) ของสถาบันการเรียนรู้ผู้ใหญ่ (Institute for Adult Learning) ประเทศสิงคโปร์
ในบล็อคนี้ เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ 6 หลักการออกแบบการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย:
- ความสอดคล้องกับโลกจริง (Authenticity)
- ความสอดคล้องกันขององค์ประกอบต่างๆ (Alignment)
- การเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic)
- การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
- การตัดสิน (Judgement)
- การมุ่งสู่อนาคต (Future-Oriented)
เราจะได้เรียนรู้ว่าแต่ละหลักการมีความหมายว่าอย่างไร มีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้อย่างไรบ้างครับ
1. ความสอดคล้องกับโลกจริง (Authenticity)
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์การทำงานจริง
ลองนึกภาพว่า ถ้าเราอยากให้พนักงานขายเก่งขึ้น แต่เอาแต่ให้เขาท่องสคริปต์การขาย โดยไม่ได้ลองฝึกขายจริง พอเจอลูกค้าจริงๆ เขาจะขายไหวหรือเปล่า? แน่นอนว่ายากแน่ๆ เพราะขาดความสอดคล้องกับโลกจริงนั่นเองครับ
ความสอดคล้องกับโลกจริง (Authenticity) หมายถึง การออกแบบการเรียนรู้ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในการทำงานมากที่สุด ไม่ใช่แค่ท่องจำเนื้อหา แต่ต้องได้ลงมือทำ เผชิญกับความท้าทายและปัญหาต่างๆ เหมือนในชีวิตจริง เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้กับการปฏิบัติได้จริงครับ
ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการพัฒนา “ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ให้กับพนักงานบริการลูกค้า ก็อาจจะใช้วิธีต่อไปนี้ครับ:
- จำลองสถานการณ์จริงที่พนักงานต้องพบเจอ เช่น รับมือลูกค้าที่โกรธมาก
- ให้พนักงานได้ลองแก้ปัญหาจากสถานการณ์จำลองนั้น เช่น ฝึกพูดคุยกับลูกค้า
- เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ผ่านการ Coaching
- ส่งไปสังเกตการทำงานของพนักงานต้นแบบ (Job Shadowing)
- มอบหมายให้ฝึกรับมือลูกค้าจริงในสถานการณ์ไม่รุนแรงก่อน
สูตรความสำเร็จของการสร้างความสอดคล้องกับโลกแห่งความจริง คือ
“จำลองบริบทจริง + เชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติ + ค่อยๆเพิ่มระดับความท้าทาย” นั่นเองครับ
2. ความสอดคล้องกันขององค์ประกอบต่างๆ (Alignment)
จัดการเรียนรู้ให้ทุกองค์ประกอบมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
เวลาเราออกแบบหลักสูตรอบรมนั้น ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกันขององค์ประกอบต่างๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม และการวัดผล ต้องมุ่งไปในทิศทางเดียวกันและส่งเสริมกันและกัน เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ ถ้าชิ้นไหนไม่เข้ากัน ภาพรวมก็จะไม่สมบูรณ์
ความสอดคล้องกันขององค์ประกอบต่างๆ (Alignment) จึงหมายถึง การออกแบบการเรียนรู้ที่ทำให้ทุกส่วนในหลักสูตรประสานกลมกลืน ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่วางไว้นั่นเองครับ
ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการพัฒนา “ทักษะการนำเสนองาน” ให้กับพนักงานขาย สิ่งที่ควรทำคือ:
- กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่า ต้องการให้พนักงานนำเสนอได้น่าสนใจ โน้มน้าวใจลูกค้าได้
- คัดเลือกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจริงๆ เช่น เทคนิคการนำเสนอ การใช้ภาษากาย การออกแบบสไลด์ ฯลฯ
- จัดกิจกรรมที่ให้ได้ฝึกปฏิบัติจริง เช่น เตรียมสไลด์ ขึ้นพูดหน้าชั้น รับฟีดแบ็คเพื่อปรับปรุง
- วัดผลโดยประเมินจากการนำเสนองานจริง ดูว่านำเสนอได้น่าสนใจ โน้มน้าวใจได้แค่ไหน
วิธีที่จะทำให้ทุกอย่างสอดคล้องกันได้ คือต้อง “กำหนดเป้าหมายให้ชัด แล้วเชื่อมโยงทุกส่วนให้ไปสู่เป้าหมายนั้น” ครับ เหมือนกับการมีภาพใหญ่ในใจตลอดเวลานั่นเอง
3. การเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic)
ผสานความรู้ ทักษะ ทัศนคติ อารมณ์ ผ่านกิจกรรมรอบด้าน
การเรียนรู้ไม่ใช่แค่การจดจำข้อมูล แต่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม และนำไปใช้ได้จริง การเรียนรู้แบบองค์รวมจึงเป็นการมองการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และอารมณ์ความรู้สึก ไม่แยกส่วน
การเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic) คือการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลอมรวมทั้งความรู้ ทักษะ ความคิด และความรู้สึก ผสานทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งทักษะเฉพาะทางและทักษะทั่วไป รวมถึงเน้นการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและนำไปใช้ได้จริงครับ
ลองยกตัวอย่าง หากต้องการพัฒนา “ทักษะการสื่อสารกับลูกค้า” ควรออกแบบการเรียนรู้แบบองค์รวม ดังนี้:
- เชื่อมโยงความรู้เรื่องเทคนิคการสื่อสาร เข้ากับประสบการณ์จริงของพนักงาน เช่น มี Case Study ให้วิเคราะห์
- สอดแทรกเรื่องทัศนคติและมารยาทในการสื่อสารควบคู่ไปกับทักษะการพูด
- ใช้สื่อที่หลากหลาย ทั้งข้อความ เสียง ภาพ วิดีโอ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ
- สลับบทบาทให้ผู้เรียนได้เป็นทั้งพนักงานและลูกค้า เพื่อสัมผัสความรู้สึกทั้งสองด้าน
- จับคู่ให้ฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์ต่างๆ แล้วให้ผลตอบกลับแก่กัน
กุญแจสำคัญของการเรียนรู้แบบองค์รวม คือ “ผสานความรู้กับการปฏิบัติ ผนวกเทคนิคกับทัศนคติ เน้นประสบการณ์รอบด้าน”นั่นเองครับ
4.การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับ Feedback จากหลายแหล่งเพื่อพัฒนาตนเอง
เวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรามักอยากรู้ว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหน มีจุดไหนต้องปรับปรุงอีกบ้าง การได้รับข้อมูลสะท้อนกลับที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ในการออกแบบการเรียนรู้ หมายถึงการสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้รับฟังความเห็น คำแนะนำ และข้อสังเกตเกี่ยวกับผลงานหรือพฤติกรรมของตนเอง จากหลากหลายแหล่ง ทั้งเพื่อน ครูผู้สอน หัวหน้างาน ฯลฯ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ในที่สุดครับ
ยกตัวอย่างในการพัฒนา “ทักษะการเขียนรายงานการประชุม” อาจใช้วิธีให้ข้อมูลป้อนกลับแบบนี้:
- จับคู่ให้เพื่อนอ่านรายงานของกันและกัน แล้วให้ Feedback เรื่องความชัดเจน ครบถ้วน
- อาจารย์ผู้สอนช่วย Comment รายงานฉบับแรกๆ อย่างละเอียด ชี้จุดที่ควรปรับ
- ให้ลองเขียนรายงานการประชุมจริง แล้วให้หัวหน้าหรือลูกค้าประเมินผลงานด้วย
- มีคลินิกให้คำปรึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อสงสัย รับฟังคำแนะนำเพิ่มเติม
- เมื่อฝึกไปสักพัก ให้ผู้เรียนย้อนกลับไปดูรายงานฉบับแรกๆ แล้วลองประเมินตัวเองดูว่าพัฒนาขึ้นอย่างไร
หัวใจของการให้ Feedback ที่ดี คือ “ให้บ่อยๆ จากหลายมุมมอง เน้นการพัฒนาไม่ใช่ตำหนิ เปิดโอกาสให้นำไปปรับใช้ได้ทันที”เพราะ Feedback คือส่วนสำคัญที่ช่วยเร่งการเรียนรู้นั่นเองครับ
5. การตัดสิน (Judgement)
ฝึกให้ผู้เรียนใช้วิจารณญาณ ประเมินผลงาน และตัดสินใจด้วยตัวเอง
ในโลกของการทำงานจริง เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือการสื่อสารกับผู้อื่น ดังนั้นการฝึกฝนให้ผู้เรียนรู้จักใช้วิจารณญาณ ประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสอดแทรกในการเรียนรู้ครับ
การตัดสิน (Judgement) ในบริบทของการเรียนรู้ หมายถึงการสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ดุลยพินิจในการประเมินผลงานหรือพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น ฝึกการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการตัดสินและประเมินในประเด็นด้านคุณธรรมจริยธรรมด้วย ซึ่งจะช่วยพัฒนาการคิดอย่างรอบด้าน และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนในโลกการทำงานครับ
ลองยกตัวอย่างในการพัฒนา “ทักษะการตัดสินใจแก้ปัญหา” ให้พนักงานขาย อาจใช้วิธีฝึกฝนแบบนี้:
- ให้พนักงานได้ลองประเมินผลงานการขายของตนเอง เทียบกับเป้าหมาย และวิเคราะห์ว่ามีจุดใดต้องพัฒนา
- จับกลุ่มให้ช่วยกันวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการขาย แล้วระดมความเห็นเพื่อหาวิธีแก้ไข
- ให้ลองฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าผ่านสถานการณ์จำลองในห้องเรียน เช่น รับมือลูกค้าที่ต่อรองราคา
- ให้แต่ละคนประเมินข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีแก้ปัญหา แล้วให้เลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดพร้อมให้เหตุผล
- ยกกรณีศึกษาปัญหาจริยธรรมในการขาย เช่น การโกหกเรื่องสรรพคุณสินค้า ให้ผู้เรียนได้ฝึกตัดสินใจเชิงจริยธรรม
สูตรสำคัญของการพัฒนาทักษะการตัดสินใจ คือ “สร้างโอกาสให้ประเมินตนเองและผู้อื่น ฝึกตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ครอบคลุมทั้งเรื่องงานและจริยธรรม แล้วเรียนรู้จากผลของการตัดสินใจนั้น” ซึ่งจะช่วยพัฒนาภูมิคุ้มกันให้พร้อมรับมือกับปัญหาที่ท้าทายในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นครับ
6. การมุ่งสู่อนาคต (Future-Oriented)
เน้นพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดมุมมองที่หลากหลาย พร้อมรับมือความท้าทายใหม่ๆ
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อาจล้าสมัยและใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป การเรียนรู้จึงไม่ควรมุ่งแค่เพียงเพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอนด้วยครับ
การมุ่งสู่อนาคต (Future-Oriented) ในการออกแบบการเรียนรู้ จึงหมายถึงการเน้นพัฒนาขีดความสามารถของผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะการฝึกทักษะการเรียนรู้ (Learning How to Learn) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต รวมถึงการสร้างความเข้าใจระดับลึก (Deep Understanding) ซึ่งเป็นพื้นฐานให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในบริบทต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น และการเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย (Multiple Perspectives) เพื่อฝึกคิดนอกกรอบ คิดสร้างสรรค์ และคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
ลองยกตัวอย่างในการพัฒนา “ทักษะการคิดสร้างสรรค์” ให้ทีมงานออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ อาจใช้วิธีเรียนรู้แบบมุ่งสู่อนาคตแบบนี้:
- เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาให้ความรู้และมุมมองเกี่ยวกับเทรนด์หรือเทคโนโลยีแห่งอนาคต
- จัดเวิร์คช็อปให้ลองฝึกใช้เทคนิคการระดมความคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ
- แบ่งทีมให้ไปสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคต เพื่อค้นหาความต้องการใหม่ๆ
- ให้แต่ละทีมลองออกแบบคอนเซปต์ผลิตภัณฑ์ใหม่ แล้วสลับให้ทีมอื่นวิจารณ์ พร้อมเสนอมุมมองที่แตกต่าง
- สะท้อนคิดหลังจบโปรเจค ให้แต่ละคนบอกว่าได้เรียนรู้อะไร และจะนำไปต่อยอดขยายผลอย่างไรในอนาคต
หัวใจสำคัญของการมุ่งสู่อนาคต คือ “เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง เพื่อเปิดมุมมองให้ท้าทายและหลากหลาย เน้นสร้างทักษะรู้เรียนและเข้าใจระดับลึก เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้และพัฒนาต่อยอดได้ด้วยตัวเอง” ซึ่งจะช่วยให้เราพร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ในโลกอนาคตได้อย่างมั่นใจครับ
สรุปบทความ
6 หลักการออกแบบการเรียนรู้ (The Six Principles of Learning Design) เป็นแนวคิดที่น่าสนใจสำหรับ HR นักออกแบบการเรียนรู้ และผู้ที่ต้องการพัฒนาคนในองค์กร ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
หลักการทั้ง 6 ข้อนี้ ตั้งแต่ ความสอดคล้องกับโลกจริง ความสอดคล้องกันขององค์ประกอบต่างๆ การเรียนรู้แบบองค์รวม การให้ข้อมูลป้อนกลับ การตัดสิน ไปจนถึงการมุ่งสู่อนาคต ล้วนมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับงานจริง พัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างรอบด้าน และเตรียมพร้อมให้พวกเขาสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ในโลกอนาคต
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจหลักการแต่ละข้ออย่างถ่องแท้ และรู้จักประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทขององค์กรตนเอง ผ่านการลองผิดลองถูก ปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ขอให้ยึดเป้าหมายให้การเรียนรู้เกิดขึ้นจริง สามารถนำไปใช้ได้จริง เป็นหลักในใจเสมอ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ ในการจุดประกายไอเดียให้ท่านผู้อ่านได้ออกแบบการเรียนรู้ในแบบฉบับของตนเอง สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่สนุกและท้าทาย เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและขององค์กรอย่างยั่งยืนครับ
-----
ที่มา : 6 principles of learning design (6PoLD)
นักเขียน : Claude.ai : Opus
คนตั้งคำถาม คนเชื่อมโยงและคนตรวจ : peesamac