Organizational Ready For Change

ผู้นำบริหารองค์กรอย่างไรให้ลูกน้อง “รัก”

ทักษะการบริหารจัดการ (Management Skills) เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทักษะการบริหารจัดการองค์กรจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ “ผู้นำ” ต้องมี

February 17, 2025
·
0
mins
Ketsara Numtummawong
เกสรา นำธรรมวงศ์
ผู้นำบริหารองค์กรอย่างไรให้ลูกน้อง “รัก”

ผู้นำบริหารองค์กรอย่างไรให้ลูกน้อง “รัก”

ในศตวรรษที่ 21 ทักษะการบริหารจัดการ (Management Skills) เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแรงและมีประสิทธิภาพภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทักษะการบริหารจัดการองค์กรจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ “ผู้นำ” ต้องมี เพราะคุณสมบัติของคนเป็นผู้นำที่ดีต้องเก่งทั้ง “งาน” เก่งทั้ง “คน” นอกจากวิสัยทัศน์กว้างไกลที่พร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จแล้ว ยังต้องมีความสามารถในการบริหารองค์กรภายใต้ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการความจำกัดของทรัพยากร งบประมาณ หรือบุคลากรภายในองค์กร

สำหรับคนเป็นผู้นำ ความก้าวหน้าทางอาชีพการงานมักมาพร้อมกับ “ความท้าทาย” ของบทบาทหน้าที่ในการบริหารองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันมหาศาลให้กับผู้นำ

“ทำอย่างไรให้ลูกน้องยอมรับ?”
“ทำอย่างไรให้เป้าหมายสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี?”
“ทำอย่างไรให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน?”

ปัญหาสุดแสนท้าทายที่ผู้นำมองไปทางไหนก็มืดแปดด้าน แต่ในบทความนี้ BASE Playhouse มีกลยุทธ์ดี ๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงและยกระดับให้คุณกลายเป็น “ผู้นำมืออาชีพ”

ทักษะการบริหารองค์กรที่ผู้นำต้องมี

1. ทักษะการวางแผน (Planning)

ทักษะแรก คือ ทักษะการวางแผน เป็นทักษะพื้นฐานของคนที่รับบทบาทหน้าที่เป็นผู้นำ เพราะเป็นการกำหนดทิศทางของเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดแผนการดำเนินงาน หรือกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำงาน ซึ่งการวางแผนที่ดีควรวางแผนทั้งหมด 3 ระยะเวลา ได้แก่ การวางแผนระยะสั้น (Short-Term) การวางแผนระยะกลาง (Mid-Term) และการวางแผนระยะยาว (Long-Term) รวมไปถึงการวิเคราะห์ปัจจัยความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกที่จะเกิดขึ้นต่อองค์กรในอนาคต เพื่อวางแผนรองรับความเสี่ยง

2. ทักษะการจัดการ (Organizing)

ทักษะต่อมา คือ ทักษะการจัดการ เป็นการจัดสรร กำหนด และแบ่งภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ ให้พนักงานภายในองค์กรหรือสมาชิกภายในทีมตามความสามารถอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะจะให้ทุกคนเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองอย่างชัดเจน ลดปัญหาความสับสนในการทำงาน ลดความขัดแย้ง และช่วยให้ผลลัพธ์ของการทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. ทักษะการควบคุม (Controlling)

ทักษะสุดท้าย คือ ทักษะการควบคุม เพราะคนที่เป็นผู้นำเปรียบเสมือน “กัปตันเรือ” ที่ต้องควบคุมสมาชิกภายในทีมให้ดำเนินงานไปตามแผนการที่วางไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ จากนั้นติดตามและประเมินผลลัพธ์ของผลงาน นำมาเปรียบเทียบกับผลงานที่ผ่าน ๆ มา เพื่อนำข้อผิดพลาด ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่พบเจอมาหากระบวนการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นสำหรับการทำงานครั้งต่อ ๆ ไป

บริหารองค์กรยุคใหม่อย่างไรให้ลูกน้อง “รัก”

ในการบริหารองค์กรยุคใหม่ การบริหารจัดการงานว่ายากแล้ว แต่การบริหารจัดการคนกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า! เพราะสำหรับองค์กรยุคใหม่ Teamwork ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จของการเป็นผู้นำจึงไม่ใช่เพียงบริหารองค์กรให้เติบโต แต่รวมไปถึงการได้รับการยอมรับและความร่วมมือร่วมใจจากสมาชิกภายในทีมทุก ๆ คน

แล้วบริหารองค์กรยุคใหม่อย่างไรถึงจะพิชิตใจลูกน้องได้? วันนี้ BASE Playhouse จะมาแชร์ 4 เทคนิคง่าย ๆ ที่ผู้นำนำไปปรับใช้ได้อย่างแน่นอน เตรียมเซฟเก็บไว้อ่านกันได้เลย!

1. เปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วม

เทคนิคการบริหารองค์กรยุคใหม่ข้อแรก คือ การเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วม เพราะตามหลักจิตวิทยานั้น คนที่เป็นผู้นำควร “พูดให้น้อยลงและรับฟังให้มากขึ้น” เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สมาชิกภายในทีมกล้าคิด กล้าทำ การแสดงความคิดเห็น และกล้าตัดสินใจ หากผู้นำพูดมากเกินไปหรือยึดความคิดเห็นของตนเองเป็นศูนย์กลาง สมาชิกภายในทีมก็จะไม่ได้รับโอกาสในการเรียนรู้หรือพัฒนาศักยภาพของตนเอง

หากผู้นำเปิดโอกาสให้สมาชิกภายในทีมแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่และมีส่วนร่วมในทุก ๆ การดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น ผู้นำเปิดโอกาสให้สมาชิกภายในทีมเสนอไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงานและนำมาพิจารณาในการใช้งานจริง เมื่อผลลัพธ์ของงานออกมาประสบความสำเร็จ ก็จะสร้างความภาคภูมิใจและเสริมความมั่นใจในศักยภาพของตนเองให้กับสมาชิกภายในทีม ในขณะเดียวกัน หากเกิดปัญหาระหว่างการทำงาน สมาชิกภายในทีมก็จะได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาและพัฒนาไหวพริบของตนเองให้เก่งขึ้น

2. จัดการลูกน้องแต่ละสายให้ตรงจุด

การทำงานร่วมกันภายในองค์กร เป็นการรวมตัวของคนร้อยพ่อพันแม่ที่มีความหลากหลายและเป็นตัวของตัวเองมาอยู่รวมกัน แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมา คือ ความแตกต่าง ไม่ว่าจะแตกต่างกันทางความคิด ทัศนคติ รสนิยม หรือวิธีการทำงาน ซึ่งสิ่งนี้คือความท้าทายของคนเป็นผู้นำ ที่ต้องรู้วิธีการจัดการกับลูกน้องแต่ละประเภทให้ตรงจุด เพื่อให้การบริหารองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น

2.1 ลูกน้องสายขยันแต่ดันไม่เก่ง

ลูกน้องประเภทแรก คือ ลูกน้องสายขยันแต่ดันไม่เก่ง คนบางคนมีความขยันและความรับผิดชอบสูง แต่ดันไม่ใช่คนเก่ง ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานอาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ผู้นำได้ตั้งเกณฑ์มาตรฐานไว้ วิธีการจัดการกับลูกน้องสายนี้ ต้องคอยไถ่ถามอยู่เสมอว่ากำลังรับผิดชอบงานอะไรอยู่ ติดขัดปัญหาตรงไหน เพื่อจะได้รับรู้ขั้นตอนการทำงานและวิธีการจัดการปัญหาของลูกน้อง หากเกิดข้อผิดพลาดตรงส่วนไหน ผู้นำจะได้ช่วยแนะนำหรือแก้ปัญหาได้ทันเวลา ทำให้ลูกน้องได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองไปอีกขั้น

2.2 ลูกน้องที่อายุมากกว่าผู้นำ

ลูกน้องประเภทที่สอง คือ ลูกน้องที่อายุมากกว่าผู้นำ ในปัจจุบัน คนที่ได้รับบทบาทหน้าที่ในการเป็นผู้นำ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่อายุมากที่สุดเสมอไป คนที่อายุน้อยก็สามารถเป็นผู้นำได้ ความท้าทายของการบริหารจัดการกับลูกน้องสายนี้ คือ ต้องพิสูจน์ให้ลูกน้องเห็นว่าตนเองมีความสามารถด้วยการกระทำไม่ใช่เพียงแค่คำพูดและต้องสามารถดูแลให้ลูกน้องปฏิบัติตามคำสั่งได้

2.3  ลูกน้องที่หมด Passion ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ลูกน้องประเภทที่สาม คือ ลูกน้องที่หมด Passion ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพราะเมื่อคนเราทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ย่อมเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นเรื่องธรรมดา ในฐานะผู้นำ คุณอาจจะจัดการแก้ปัญหาโดยการเสนอทางเลือกให้ลูกน้องได้ลองทำผลงานใหม่ ๆ ที่อยากทำหรือตำแหน่งใหม่ ๆ ที่สนใจ เพื่อช่วยจุดประกายไอเดีย เพิ่มความสุขในการทำงาน

3. ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง

ไม่ว่าใครก็ต้องเคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้น แม้แต่คนเป็นผู้นำก็เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับการเคารพนับถือจากลูกน้อง คือ การกล้ายอมรับความผิดพลาดของตนเอง ขอโทษอย่างจริงใจ และหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกน้องได้ ในขณะเดียวกัน ผู้นำที่อีโก้ (Ego) สูง ไม่ยอมรับความผิดพลาด ไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกันเป็นทีมตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน

4. การดูแลลูกน้องด้วยใจ

การดูแลลูกน้องด้วยใจ เป็นการเริ่มต้นกระชับความสัมพันธ์ภายในทีมที่ดีที่สุด โดยเริ่มจากการแสดงความจริงใจและเอาใจใส่ จะทำให้ลูกน้องรู้สึกมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งของทีมอย่างแท้จริง

การดูแลลูกน้องด้วยใจ อาจจะเริ่มต้นจาก “การสังเกตพฤติกรรมและความชอบ” เพราะสามารถทำให้เราเข้าหาลูกน้องได้ง่ายมากขึ้น เช่น พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกน้องสนใจ ถามถึงความชอบส่วนตัว เป็นต้น หรือจะ “ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ” มาฝากโดยไม่หวังผลตอบแทน สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ สร้างความประทับใจให้กับลูกน้องและทำให้ลูกน้องสัมผัสได้ว่าเราให้ความสำคัญในฐานะ “คน” ไม่ใช่เพียง “แรงงาน”

การบริหารองค์กรยุคใหม่เป็นเรื่องสำคัญต่อการทำงานร่วมกันเป็นทีมและการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมากในองค์กร หากการบริหารองค์กรของคนเป็นผู้นำดี จะทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้บรรยากาศในการทำงานดีตามและประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีตามไปด้วย

Cross-Cultural Communication in the Workplace

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ในองค์กรแห่งความหลากหลาย 

หลักสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับทักษะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมในสถานที่ทำงานและเสริมสร้างความตระหนักด้านความหลากหลายในองค์กร ผู้เข้าร่วมจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญของความหลากหลาย

คอร์สนี้เหมาะกับ

'Cross-Cultural Communication in the Workplace' เหมาะสำหรับบุคลากรในทุกระดับขององค์กร ตั้งแต่พนักงานทั่วไป ผู้จัดการ และผู้บริหาร

สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ

  • Cross-Cultural Communication - เข้าใจหลักการพื้นฐานของการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมและผลกระทบต่อพลวัตภายในองค์กร
  • Teamwork - พัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างการสื่อสารและการทำงานร่วมกันในทีมที่หลากหลาย
  • Personal Action Plan - รู้จักการวางแผนเพื่อนำกลยุทธ์การสื่อสารข้ามวัฒนธรรมไปใช้ในการทำงานเพื่อการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน

รายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม > อ่านที่นี่

ติดต่อปรึกษา BASE Playhouse ฟรี! โทร 094-191-4626 หรือกรอกข้อมูลเพื่อติดต่อกลับ ที่นี่

อ้างอิงจาก

เทคนิคการบริหารลูกน้องคนรุ่นใหม่และเก่าในยุคดิจิทัล เจ้าของธุรกิจควรรู้!, ZORT

Management คืออะไร การจัดการช่วย HR พัฒนาองค์กรอย่างไร, SOLUTIONS IMPACT