เทคนิคเก็บเงินแบบ 6 Jars : วิธีจัดการการเงินอย่างชาญฉลาดและมีความสุข
เรียนรู้เทคนิค 6 Jars วิธีจัดการการเงินที่ช่วยให้คุณเก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข พร้อมคำแนะนำในการเริ่มต้นใช้งานจริง
เทคนิคเก็บเงินแบบ 6 Jars: วิธีจัดการการเงินอย่างชาญฉลาดและมีความสุข
คุณเคยรู้สึกไหมว่าทำงานมาทั้งปี แต่เงินเก็บไม่อยู่เลย? หรือบางทีเก็บได้ แต่ก็ต้องกินมาม่าประทังชีวิต ไม่ได้ช้อปปิ้งหรือไปเที่ยวเลย? ไม่ต้องกังวลไปครับ วันนี้ผมมีเทคนิคดีๆ มาแชร์ให้ทุกคนสามารถเก็บเงินได้อย่างมีความสุขกัน นั่นก็คือเทคนิค 6 Jars หรือ 6 ไหนั่นเอง!
เทคนิค 6 Jars คืออะไร?
เทคนิค 6 Jars เป็นกลยุทธ์การจัดการการเงินที่ออกแบบโดย T. Harv Eker ซึ่งเป็นวิทยากรด้านการเงินและการใช้ชีวิตที่มีชื่อเสียง แนวคิดนี้ช่วยให้เราสามารถจัดสรรเงินได้อย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วนตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
ผมเคยมีประสบการณ์ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ว่าพอได้เงินเดือนมา ก็ใช้จ่ายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแผน พอสิ้นเดือนก็แทบไม่เหลือเงินเก็บ เทคนิค 6 Jars นี้ช่วยให้เรามีโครงสร้างในการจัดการเงิน ทำให้เราไม่เครียดและสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ
มาดูกันว่า 6 Jars มีอะไรบ้าง
1. Necessity Account (กระปุกค่าใช้จ่ายจำเป็น)
ไหนี้เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยทั่วไปแล้ว ควรจัดสรรประมาณ 55% ของรายได้ให้กับไหนี้
2. Play Account (กระปุกความบันเทิง)
ไหนี้เป็นเงินที่เราใช้เพื่อให้รางวัลตัวเอง อย่างเช่น การดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมที่เราชอบ ควรจัดสรรประมาณ 10% ของรายได้
3. Financial Freedom Account (กระปุกอิสรภาพทางการเงิน)
ไหนี้เป็นเงินที่เราเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว เช่น การลงทุนในกองทุนรวม หุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่สร้างรายได้ passive income (รายได้แบบอัตโนมัติ) ควรจัดสรรประมาณ 10-20% ของรายได้
4. Education Account (กระปุกการศึกษา)
ไหนี้เป็นเงินที่เราใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง เพิ่มทักษะ หรือหาความรู้ใหม่ๆ เช่น การเรียนคอร์สออนไลน์ ซื้อหนังสือ หรือเข้าร่วมสัมมนา ควรจัดสรรประมาณ 10-15% ของรายได้
5. Long-term Savings for Spending Account (กระปุกค่าใช้จ่ายระยะยาว)
ไหนี้เป็นเงินที่เราเก็บไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การซื้อรถ ซ่อมบ้าน หรือเป็นเงินฉุกเฉิน ควรจัดสรรประมาณ 10% ของรายได้
6. Give Account (กระปุกการให้)
ไหสุดท้ายนี้เป็นเงินที่เราใช้เพื่อการบริจาคหรือช่วยเหลือสังคม นอกจากจะทำให้เรารู้สึกดีแล้ว ยังอาจได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ควรจัดสรรประมาณ 5-10% ของรายได้
วิธีเริ่มต้นใช้เทคนิค 6 Jars
1. จดรายรับรายจ่าย: เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกรายรับและรายจ่ายทั้งหมดของคุณ เพื่อให้เห็นภาพรวมทางการเงิน
2. จำแนกประเภท: แยกรายจ่ายออกเป็นหมวดหมู่ตาม 6 ไหที่เราได้พูดถึงไปแล้ว
3. ตั้งเป้าหมาย: กำหนดเปอร์เซ็นต์ที่คุณจะจัดสรรให้แต่ละไห โดยอาจเริ่มจากตัวเลขที่แนะนำไว้ข้างต้น และปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ
4. ลงมือทำ: เริ่มแบ่งเงินตามที่วางแผนไว้ และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการใช้เทคนิค 6 Jars
ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้
อย่าตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปจนทำให้ตัวเองเครียด เริ่มจากเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถทำได้จริง แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ใช้เทคโนโลยีช่วย
ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยในการจัดการการเงิน คุณอาจลองใช้แอพเหล่านี้เพื่อติดตามการใช้จ่ายและการออมของคุณได้ง่ายขึ้น
ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์
เทคนิค 6 Jars นี้สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของคุณได้ เช่น ถ้าคุณกำลังวางแผนแต่งงาน คุณอาจเพิ่มสัดส่วนในไหค่าใช้จ่ายระยะยาวมากขึ้น
ฉลองความสำเร็จ
อย่าลืมให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณทำได้ตามเป้าหมาย การฉลองความสำเร็จจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คุณทำต่อไปได้ในระยะยาว
ประโยชน์ของการใช้เทคนิค 6 Jars
1. **มีระบบในการจัดการเงิน**: ช่วยให้คุณมีโครงสร้างที่ชัดเจนในการจัดการการเงิน
2. **ลดความเครียด**: เมื่อคุณรู้ว่าเงินของคุณถูกจัดสรรอย่างเหมาะสม คุณจะรู้สึกควบคุมสถานการณ์ทางการเงินได้ดีขึ้น
3. **บรรลุเป้าหมายทางการเงิน**: ช่วยให้คุณสามารถวางแผนและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน หรือการใช้จ่ายอย่างมีความสุข
4. **สร้างนิสัยทางการเงินที่ดี**: การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีในระยะยาว
5. **มีความยืดหยุ่น**: สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามสถานการณ์และเป้าหมายที่เปลี่ยนไป
สรุป
เทคนิค 6 Jars เป็นวิธีการจัดการการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขไปพร้อมๆ กัน โดยการแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วนตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือน เจ้าของธุรกิจ หรืออาชีพอิสระ เทคนิคนี้ก็สามารถปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณได้
ลองเริ่มต้นใช้เทคนิคนี้ดูนะครับ แล้วคุณจะพบว่าการจัดการการเงินไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน!