Business Acumen

ไม่เจ๊งชัวร์! สรุป-เจาะลึก Business Model Canvas: สูตรสำเร็จธุรกิจยุคนี้

เจาะลึก Business Model Canvas (BMC) เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจสุดเจ๋ง ช่วยลดความเสี่ยงเจ๊ง เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง พร้อมตัวอย่างและเคล็ดลับการนำไปใช้

September 8, 2024
·
0
mins
Kan Sirarojanakul (Kan)
กัญจน์ ศิระโรจนกุล
ไม่เจ๊งชัวร์! สรุป-เจาะลึก Business Model Canvas: สูตรสำเร็จธุรกิจยุคนี้

ไม่เจ๊งชัวร์! สรุป-เจาะลึก Business Model Canvas: สูตรสำเร็จธุรกิจยุคนี้

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักธุรกิจและผู้ประกอบการทุกคน วันนี้เรามาคุยกันเรื่องเครื่องมือสุดเจ๋งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณรอดพ้นจากความเสี่ยงที่จะเจ๊งกันครับ นั่นก็คือ Business Model Canvas นั่นเอง!

Business Model Canvas คืออะไร?

Business Model Canvas หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า BMC นี่แหละครับ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างครบถ้วนใน 1 หน้ากระดาษ ซึ่งประกอบไปด้วย 9 ช่องสำคัญที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการทำธุรกิจ

ความพิเศษของ BMC คือ มันทำให้เราสามารถวิเคราะห์และเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเจ๊งลงได้มากเลยทีเดียว

9 ช่องมหัศจรรย์ของ Business Model Canvas

แผนภาพ Business Model Canvas แสดง 9 ช่องสำคัญ

ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 9 ช่องของ BMC กันแบบละเอียดเลยนะครับ แต่ละช่องมีความสำคัญอย่างไร และเราควรตอบคำถามอะไรบ้าง มาดูกันเลย!

1. Value Proposition: คุณค่าที่เรามอบให้ลูกค้า

Value Proposition คือสิ่งที่เราต้องตอบให้ได้ว่า "เราให้อะไรกับลูกค้า?" นี่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจเลยก็ว่าได้

คุณค่าที่เรามอบให้ลูกค้านั้นมีได้ 2 แบบหลักๆ คือ:
1. Functional Value: คุณค่าในแง่การใช้งาน
2. Emotional Value: คุณค่าทางอารมณ์และความรู้สึก

ยกตัวอย่างเช่น ผมเองก็เคยซื้อ Apple Watch มาใช้ นอกจากฟังก์ชันการทำงานที่ครบครันแล้ว มันยังให้ความรู้สึกเท่ ทันสมัย และเข้าใจสุขภาพตัวเองมากขึ้นด้วย นี่แหละครับคือตัวอย่างของ Emotional Value

หรืออย่าง Starbucks ที่เราชอบไปนั่งทำงาน นอกจากรสชาติกาแฟแล้ว มันยังให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี มีระดับ ซึ่งเป็น Emotional Value ที่ซ่อนอยู่ในแบรนด์นั่นเอง

2. Customer Segments: กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ช่องนี้เราต้องตอบให้ได้ว่า "ใครคือคนที่จ่ายเงินให้เรา?" ซึ่งการเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งนั้นสำคัญมากๆ

เราควรรู้ข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า เช่น:
- เพศ
- อายุ
- รายได้
- ที่อยู่อาศัย
- วิธีการเดินทาง
- สื่อที่ใช้เป็นประจำ

นอกจากนี้ เรายังต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าด้วย เช่น ถ้าเราขายแชมพู แล้วสังเกตว่าลูกค้ามักจะเกาหัวทุกครั้งที่หยิบโทรศัพท์ เราก็อาจจะออกแบบโฆษณาหรือผลิตภัณฑ์ให้เกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์ก็ได้

3. Channels: ช่องทางเข้าถึงลูกค้า

ช่องนี้เราต้องตอบคำถามว่า "ลูกค้าจะเจอเราที่ไหน?" ซึ่งช่องทางนี้ครอบคลุมตั้งแต่:
- ช่องทางที่ลูกค้ารู้จักเราครั้งแรก
- ช่องทางการซื้อสินค้า
- ช่องทางการจัดส่ง
- ช่องทางการบอกต่อ

ในยุคดิจิทัลนี้ เรามีช่องทางมากมายให้เลือกใช้ เช่น:
- Social Media: Facebook, Instagram, TikTok, YouTube
- Professional Networks: LinkedIn
- Forums: Pantip
- ช่องทางออฟไลน์: บิลบอร์ด, โบรชัวร์, คูปอง

การเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้าของเราจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

4. Customer Relationships: การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ช่องนี้เราต้องตอบคำถามว่า "ลูกค้าจะรักเรายังไง?" การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ทำให้ธุรกิจของเรามีรายได้ที่ยั่งยืน

วิธีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามีหลายรูปแบบ เช่น:
- โปรแกรมสะสมแต้ม (Loyalty Program)
- การสร้างชุมชน (Community Building)
- การให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า (Co-creation)
- การบริการลูกค้าที่ประทับใจ (Excellent Customer Service)

ผมขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตัวเองนะครับ ผมเคยทำประกันสัตว์เลี้ยงให้แมวที่บ้าน ทางบริษัทประกันเขาสร้างความสัมพันธ์กับผมได้ดีมากๆ ตั้งแต่:
1. มี Call Center ที่ให้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นกันเอง
2. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่านอีเมลหลังจากที่ผมเคลมประกัน
3. ส่งอีเมลแจ้งเตือนก่อนกรมธรรม์จะหมดอายุ

วิธีการแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกดีและอยากต่ออายุกรมธรรม์กับเขาต่อไปครับ

5. Revenue Streams: กระแสรายได้

ช่องนี้เราต้องตอบให้ได้ว่า "เราจะสร้างรายได้ยังไง?" "เราจะขายเท่าไหร่?" และ "เราจะขายแบบไหน?"

สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้ว่าลูกค้าของเราพอใจที่จะจ่ายในราคาเท่าไหร่ และชอบวิธีการจ่ายแบบไหน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขายกล้วย แล้วลูกค้าชอบซื้อทีละลูก แต่เราดันเสนอขายเป็นหวีหรือเป็นเครือ ถึงแม้ราคาจะถูกลงแต่ลูกค้าก็อาจจะไม่ซื้อ เพราะไม่ตรงกับความต้องการ

การเข้าใจพฤติกรรมการจ่ายเงินของลูกค้าจะช่วยให้เรากำหนดกลยุทธ์ด้านราคาและโปรโมชั่นได้อย่างเหมาะสม

6. Key Activities: กิจกรรมหลักของธุรกิจ

ช่องนี้เราต้องตอบคำถามว่า "ทุกวันเราทำอะไรบ้าง?" โดยเน้นที่กิจกรรมที่สำคัญจริงๆ ถ้าไม่ทำแล้วธุรกิจจะดำเนินต่อไม่ได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดร้านขายกล้วย กิจกรรมหลักของเราก็อาจจะประกอบด้วย:
1. การหากล้วยคุณภาพดี
2. การขายกล้วยให้กับลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้าน
3. การจัดการสต็อกและเก็บรักษากล้วยให้สดใหม่

กิจกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้

7. Key Resources: ทรัพยากรสำคัญ

ช่องนี้เราต้องตอบคำถามว่า "เราต้องมีอะไร หรือใครบ้าง ธุรกิจถึงจะไปต่อได้?"

ทรัพยากรสำคัญอาจจะเป็นได้ทั้ง:
- ทรัพย์สินที่จับต้องได้ (เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์)
- บุคลากร
- สถานที่หรืออสังหาริมทรัพย์
- ความรู้หรือทรัพย์สินทางปัญญา

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดร้านนวดสุขภาพ ทรัพยากรสำคัญของเราก็อาจจะประกอบด้วย:
- พนักงานนวดที่มีฝีมือ
- เตียงนวดที่ได้มาตรฐาน
- สถานที่ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเช่าหรือซื้อ

การระบุทรัพยากรสำคัญจะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนและการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

8. Key Partnerships: พันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ

ช่องนี้เราต้องตอบคำถามว่า "ใครเป็นคนที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้ง่ายขึ้น?"

ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือ ไม่มีใครทำธุรกิจได้สำเร็จโดยลำพัง เราทุกคนมีทรัพยากรจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ความรู้ หรือเวลา นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องอาศัยพันธมิตรทางธุรกิจ

พันธมิตรทางธุรกิจอาจจะเป็นใครก็ได้ที่ช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ดีขึ้น เช่น:
- คู่ค้า (Suppliers)
- คู่แข่งที่ร่วมมือกัน (Co-opetition)
- ชุมชนของลูกค้าที่ช่วยออกแบบหรือให้ฟีดแบค
- ตัวกลางที่ช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ได้

ผมเคยเห็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ร้านกาแฟเล็กๆ ในย่านออฟฟิศที่ร่วมมือกับร้านเบเกอรี่ในละแวกเดียวกัน พวกเขาแชร์พื้นที่และลูกค้าร่วมกัน ทำให้ทั้งสองร้านมีโอกาสเติบโตไปด้วยกัน

9. Cost Structure: โครงสร้างต้นทุน

ช่องสุดท้ายนี้ เราต้องตอบคำถามว่า "เราต้องจ่ายอะไรบ้างเพื่อดำเนินธุรกิจ?"

การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะสะท้อนกลับไปยังกิจกรรมหลักและทรัพยากรสำคัญที่เราต้องมี

ต้นทุนของธุรกิจอาจจะอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น:
- ค่าวัตถุดิบ
- ค่าแรงพนักงาน
- ค่าเช่าสถานที่
- ค่าการตลาดและโฆษณา
- ค่าอุปกรณ์และเครื่องมือ
- ค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร

การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนจะช่วยให้เราสามารถกำหนดราคาขายและวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม

การนำ Business Model Canvas ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หลังจากที่เราได้รู้จักกับ 9 ช่องของ Business Model Canvas กันแล้ว คำถามต่อไปก็คือ เราจะนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของเราได้อย่างไร? ผมมีเคล็ดลับมาฝากครับ

1. ใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบัน

ถ้าคุณมีธุรกิจอยู่แล้ว ลองนำ BMC มาใช้วิเคราะห์ธุรกิจของคุณดูครับ คุณอาจจะพบจุดอ่อนหรือโอกาสใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ตัวอย่างเช่น ผมเคยใช้ BMC วิเคราะห์ธุรกิจสอนพิเศษออนไลน์ของเพื่อน พบว่าเขามี Value Proposition ที่แข็งแกร่ง แต่ยังขาดในส่วนของ Customer Relationships ทำให้ลูกค้าไม่ค่อยกลับมาเรียนซ้ำ เราจึงได้วางแผนสร้างระบบติดตามผลและให้คำปรึกษาหลังเรียนเพิ่มเติม ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากขึ้น

2. ใช้วางแผนธุรกิจใหม่

สำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ BMC เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการวางแผนธุรกิจ มันช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้คุณไม่หลงลืมองค์ประกอบสำคัญๆ

ผมเองเคยใช้ BMC ในการวางแผนเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในชุมชน การกรอก 9 ช่องทำให้ผมเห็นว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ตั้งแต่การหาแหล่งเมล็ดกาแฟคุณภาพดี (Key Resources) ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองในร้าน (Customer Relationships)

3. ใช้ปรับปรุงโมเดลธุรกิจ

BMC ไม่ใช่สิ่งที่คุณทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ควรนำมาทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 หลายธุรกิจต้องปรับ BMC ของตัวเองใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของ Channels และ Customer Relationships ที่ต้องเปลี่ยนจากการพบปะลูกค้าโดยตรง เป็นการติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์แทน

4. ใช้เปรียบเทียบกับคู่แข่ง

BMC สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์คู่แข่งได้ด้วย ลองสร้าง BMC ของคู่แข่งดู (จากข้อมูลที่เราสามารถหาได้) แล้วเปรียบเทียบกับของเรา เราอาจจะพบจุดแข็งหรือจุดอ่อนที่เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

ผมเคยลองทำแบบนี้กับธุรกิจ e-commerce ของเพื่อน เราพบว่าคู่แข่งรายหนึ่งมี Key Partnerships ที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เขาสามารถจัดส่งสินค้าได้เร็วกว่าและถูกกว่า เราจึงได้วางแผนหาพันธมิตรด้านโลจิสติกส์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

บทสรุป: BMC คือเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ

Business Model Canvas เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจ มันช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ และช่วยให้เราสามารถระบุจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนาได้

การใช้ BMC อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด และช่วยลดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้มเหลวได้อย่างมาก

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ Business Model Canvas มากขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณได้ อย่าลืมนะครับว่า BMC ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราคิดและวางแผนอย่างเป็นระบบมากขึ้น

ถ้าคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BMC หรืออยากแชร์ประสบการณ์การใช้ BMC ของคุณ อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างนะครับ ผมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกคนครับ!

สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ และอย่าลืมใช้ Business Model Canvas เป็นเครื่องมือช่วยในการวางแผนและพัฒนาธุรกิจของคุณนะครับ!