เวิร์คช็อป Design Thinking ต้องเป็นแบบไหนในปี 2024-2025 HR ต้องรู้
ออกแบบเวิร์คช็อป Design Thinking ปี 2024-2025 โดยผสมผสาน AI และแนวคิดความยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในองค์กร
เวิร์คช็อป Design Thinking ต้องเป็นแบบไหนในปี 2024-2025 HR ต้องรู้ เพื่อออกแบบการฝึกทักษะในปีนี้ให้คนในองค์กร
บทนำ
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมเป็น Learning Designer ที่ออกแบบหลักสูตรฝึกอบรมให้กับองค์กรต่างๆ มาหลายปีแล้วครับ วันนี้จะมาคุยกันในหัวข้อที่กำลังฮอตฮิตในแวดวงการพัฒนาบุคลากร นั่นก็คือ Design Thinking นั่นเองครับ
ปัจจุบัน Design Thinking กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายองค์กรนำมาใช้เพื่อพัฒนานวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การปรับปรุงกระบวนการทำงาน หรือแม้แต่การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในองค์กร ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เทรนด์ของ Design Thinking ก็ยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่จากประสบการณ์ของผม พบว่าหลายองค์กรยังสับสนว่าจะนำ Design Thinking ไปประยุกต์ใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของฝ่าย HR และทีม Learning & Development (L&D) นั่นเอง
ดังนั้น เป้าหมายของบทความนี้ก็คือ เพื่อแนะนำแนวทางให้ HR และทีม L&D ออกแบบเวิร์คช็อป Design Thinking ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรในยุคปัจจุบัน โดยจะพูดถึงแนวโน้มของ Design Thinking ในปี 2024-2025, องค์ประกอบสำคัญของเวิร์คช็อป, ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำ, เทคนิคการจัดเวิร์คช็อปแบบมีส่วนร่วม ไปจนถึงการวัดผลและประเมินประสิทธิภาพ
เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยครับว่า เวิร์คช็อป Design Thinking ในปี 2024-2025 ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง
แนวโน้มของ Design Thinking ในปี 2024-2025
การผสมผสาน AI กับ Design Thinking
ในยุคที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกวงการ การนำ AI มาผสมผสานกับ Design Thinking ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองครับ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าจำนวนมหาศาล เพื่อค้นหา Insight ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรือการใช้ AI มาช่วยสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วในขั้นตอน Prototype เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการ Design Thinking มีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
การเน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
อีกหนึ่งเทรนด์ที่สำคัญคือ การนำแนวคิดด้านความยั่งยืน (Sustainability) และความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) มาผนวกเข้ากับ Design Thinking มากขึ้น เพราะในโลกยุคใหม่ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ การออกแบบนวัตกรรมจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นที่ตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างเดียว
การประยุกต์ใช้ Design Thinking กับปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น
นอกจากนี้ เทรนด์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การขยายขอบเขตการใช้ Design Thinking ไปสู่การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพ การศึกษา ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือแม้แต่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและมุมมองที่หลากหลาย ดังนั้น การฝึก Design Thinking ในอนาคต จึงควรเน้นการสร้างทักษะการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) และการทำงานแบบข้ามสายงานมากขึ้นด้วย
องค์ประกอบสำคัญของเวิร์คช็อป Design Thinking ยุคใหม่
1.การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์
ปัจจัยแรกที่สำคัญมากๆ ในการออกแบบเวิร์คช็อป Design Thinking คือ การสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ครับ ไม่ว่าจะเป็นการจัดห้องให้มีพื้นที่สำหรับการระดมสมอง การใช้อุปกรณ์ศิลปะต่างๆ ในการวาดภาพหรือสร้างต้นแบบ หรือแม้แต่การเปิดเพลงเบาๆ เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปกล้าคิดนอกกรอบและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
2.การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ การนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างเวิร์คช็อป เช่น แอปพลิเคชันสำหรับวาดภาพและสร้างต้นแบบ, แพลตฟอร์มสำหรับแชร์ไอเดียและโหวตความคิดเห็น หรือระบบ Virtual Whiteboard ที่ช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้แม้อยู่คนละที่ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการ Design Thinking ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ต้องทำงานแบบ Remote หรือ Hybrid นั่นเอง
3.การเน้นการเรียนรู้แบบ Experiential Learning
และที่ขาดไม่ได้เลยคือ การออกแบบเวิร์คช็อปให้เน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง หรือที่เรียกว่า Experiential Learning นั่นเองครับ เพราะการได้ลงมือทำ สัมผัส ทดลอง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและจดจำแนวคิด Design Thinking ได้ดีกว่าการนั่งฟังบรรยายเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงควรแทรกกิจกรรม Workshop เข้าไปในทุกขั้นตอนของ Design Thinking ตั้งแต่ Empathize, Define, Ideate, Prototype ไปจนถึง Test เลยทีเดียว
ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำเวิร์คช็อป Design Thinking
1.ความเข้าใจในหลักการ Design Thinking อย่างลึกซึ้ง
สำหรับผู้ที่จะมานำเวิร์คช็อป Design Thinking จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการและแนวคิดของ Design Thinking ก่อนครับ ไม่ใช่แค่ท่องจำขั้นตอนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าแต่ละขั้นตอนมีเป้าหมายและความสำคัญอย่างไร มีเครื่องมือหรือเทคนิคอะไรบ้างที่ใช้ได้ผลดี รวมถึงเข้าใจถึงข้อจำกัดและข้อควรระวังต่างๆ ด้วย ซึ่งอาจต้องอาศัยประสบการณ์จากการเข้าเวิร์คช็อปด้วยตัวเองหลายๆ ครั้ง หรือลองนำไปใช้จริงในโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อสั่งสมความเชี่ยวชาญ
2.ทักษะการอำนวยความสะดวกและการสร้างแรงบันดาลใจ
อีกหนึ่งทักษะสำคัญของผู้นำเวิร์คช็อปก็คือ ทักษะในการ Facilitate หรืออำนวยความสะดวกให้การเวิร์คช็อปดำเนินไปอย่างราบรื่นครับ ทั้งการชี้แจงกติกา การควบคุมเวลา การจัดการพลวัตของกลุ่ม ไปจนถึงการกระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมและกล้าแสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ ผู้นำเวิร์คช็อปที่ดีควรมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมด้วย ผ่านการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ การยกตัวอย่างเคสต่างๆ หรือแม้แต่การแสดงท่าทางและน้ำเสียงที่กระตือรือร้น เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกและท้าทาย
3.ความสามารถในการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้เหมาะกับบริบทขององค์กร
แม้จะมีหลักการและแนวทางกว้างๆ ในการจัดเวิร์คช็อป Design Thinking แต่สิ่งสำคัญคือผู้นำต้องปรับใช้ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม ค่านิยม ทรัพยากร และข้อจำกัดเฉพาะขององค์กร ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการทดลองปรับใช้วิธีการใหม่ๆ เพื่อค้นหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กรของตนเอง
การออกแบบเวิร์คช็อปที่ตอบโจทย์เป้าหมายธุรกิจ
1.การวิเคราะห์ความต้องการขององค์กรและพนักงาน
ก่อนออกแบบเวิร์คช็อป Design Thinking ผู้นำเวิร์คช็อปควรทำความเข้าใจความต้องการและความท้าทายขององค์กรและพนักงานอย่างลึกซึ้ง ผ่านการสัมภาษณ์ผู้บริหาร การสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน และการวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อระบุโอกาสในการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ผ่านนวัตกรรม
2.การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจน
จากข้อมูลความต้องการ ผู้นำเวิร์คช็อปควรกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจนและวัดผลได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะการคิดเชิงออกแบบ การสร้างไอเดียใหม่ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในองค์กร วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยให้การออกแบบเนื้อหาและกิจกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.การสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง Design Thinking กับกลยุทธ์องค์กร
เวิร์คช็อป Design Thinking ไม่ควรเป็นเพียงกิจกรรมแยกส่วน แต่ควรสอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ผู้นำเวิร์คช็อปควรสื่อสารให้ผู้เข้าร่วมเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการประยุกต์ใช้ Design Thinking กับการขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจ เช่น การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การเติบโตของรายได้ หรือการลดต้นทุน เป็นต้น
เทคนิคการจัดเวิร์คช็อป Design Thinking แบบมีส่วนร่วม
1.การใช้เกมและกิจกรรมที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและกระตุ้นการมีส่วนร่วม ผู้นำเวิร์คช็อปควรใช้เกมและกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ การระดมสมอง หรือการสร้างต้นแบบอย่างง่าย กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมกล้าแสดงความคิดเห็นและลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวความผิดพลาด
2.การสร้างทีมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมุมมองใหม่ๆ
ความหลากหลายของผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมุมมองที่แตกต่างและไอเดียที่แปลกใหม่ ผู้นำเวิร์คช็อปควรจัดทีมให้ประกอบด้วยสมาชิกจากหลายหน่วยงาน ที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และภูมิหลังที่แตกต่างกัน รวมถึงเชิญผู้เชี่ยวชาญภายนอกหรือตัวแทนลูกค้าเข้าร่วมด้วย เพื่อให้ได้ไอเดียที่หลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
3.การใช้เทคนิค Storytelling เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วม
การเล่าเรื่องราวผ่านตัวอย่างและกรณีศึกษาช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจแนวคิด Design Thinking ได้ง่ายขึ้น และเห็นคุณค่าของการประยุกต์ใช้ในงานจริง ผู้นำเวิร์คช็อปควรใช้เทคนิค Storytelling ในการอธิบายขั้นตอนต่างๆ ของ Design Thinking ยกตัวอย่างความสำเร็จจากองค์กรชั้นนำ และแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมนำไปใช้
การวัดผลและประเมินประสิทธิภาพของเวิร์คช็อป
1.การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร
เพื่อประเมินผลสำเร็จของเวิร์คช็อป ผู้นำควรกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ทั้งในแง่ของผลลัพธ์ระยะสั้น เช่น จำนวนไอเดียใหม่ที่เกิดขึ้น และผลลัพธ์ระยะยาว เช่น จำนวนโครงการนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ การเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นต้น
2.การใช้เครื่องมือวัดผลแบบ real-time และการวิเคราะห์ข้อมูล
นอกจากแบบสอบถามความพึงพอใจหลังเวิร์คช็อปแล้ว ผู้นำควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเก็บข้อมูลแบบ real-time ระหว่างเวิร์คช็อป เช่น ระบบโหวตออนไลน์ แอปพลิเคชันแชทสำหรับถามตอบ และแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันเสมือนจริง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เห็นพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงเวิร์คช็อปให้ดียิ่งขึ้น
3.การติดตามผลในระยะยาวและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การวัดความสำเร็จของเวิร์คช็อป Design Thinking ไม่ควรจบแค่วันสุดท้าย แต่ควรมีการติดตามผลในระยะยาว ทั้งในแง่ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติของพนักงาน การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานจริง รวมถึงผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้นำสามารถปรับปรุงรูปแบบเวิร์คช็อปให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรมากขึ้นในระยะยาว
บทสรุป
ความสำคัญของการพัฒนาทักษะ Design Thinking อย่างต่อเนื่อง
ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะ Design Thinking ให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผู้นำควรมองเวิร์คช็อปเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังวัฒนธรรมนวัตกรรม และวางแผนพัฒนาทักษะผ่านการฝึกอบรม การสอนงาน และการลงมือทำโครงการจริงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พนักงานสามารถรับมือและสร้างสรรค์นวัตกรรมท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
บทบาทของ HR และทีม L&D ในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมนวัตกรรมในองค์กร
ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร ฝ่าย HR และทีม Learning & Development มีบทบาทสำคัญในการออกแบบและขับเคลื่อนเวิร์คช็อป Design Thinking ควบคู่ไปกับการพัฒนาผู้นำ การปรับระบบการประเมินผลงานและการให้รางวัล การสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนโครงการนวัตกรรมทีม HR และ L&D ควรทำงานร่วมกับผู้นำในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จด้านนวัตกรรม พร้อมทั้งออกแบบหลักสูตรอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น การคิดเชิงออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบกับลูกค้า และการนำเสนอไอเดียอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ควรมีการปรับเกณฑ์การประเมินผลงานและการให้รางวัลเพื่อสนับสนุนพฤติกรรมเชิงนวัตกรรม เช่น ความกล้าเสี่ยง การทดลอง และการเรียนรู้จากความล้มเหลวการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความสำคัญของนวัตกรรม ความคืบหน้าของโครงการ และบทเรียนที่ได้รับ จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและความเป็นเจ้าของร่วมกันของพนักงาน ในขณะที่การจัดสรรเวลา งบประมาณ และทรัพยากรอื่นๆ อย่างเพียงพอ จะช่วยให้ทีมนวัตกรรมสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพท้ายที่สุด ความสำเร็จของการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างฝ่าย HR, L&D, ผู้นำระดับสูง และพนักงานทุกคน ในการปลูกฝังค่านิยมและพฤติกรรมที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ การทดลอง และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและองค์กรในระยะยาว
Citations:
- AI-enhanced Design Thinking Written by Samuel Tschepe
- Customer experience & innovation trends in 2024 from leapforward.be
- The Innovator’s Handbook The Best & Latest in Corporate Innovation , Innov8rs.co
- 2024 TECH TRENDS REPORT EXECUTIVE SUMMARY , Future Today Institute