Leadership

ภาวะผู้นำ คืออะไร? 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นผู้นำที่ทุกคนยอมรับ

ค้นพบความหมายของภาวะผู้นำและเรียนรู้ 7 ขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเทคนิคการประยุกต์ใช้ในองค์กรสมัยใหม่

August 14, 2024
·
0
mins
Maytwin Pitipornvivat (Mum+)
เมธวิน ปิติพรวิวัฒน์
ภาวะผู้นำ คืออะไร? 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นผู้นำที่ทุกคนยอมรับ

ภาวะผู้นำ คืออะไร? 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นผู้นำที่ทุกคนยอมรับ

ภาวะผู้นำ: จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว HR และทีม Learning & Development ทุกคน! วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง "ภาวะผู้นำ" กันดีกว่า เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ่อยๆ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันกันนะ?

ผมยังจำได้ดีเลยครับ ตอนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมก็เคยคิดว่าภาวะผู้นำคือการที่เราต้องเก่งที่สุด รู้มากที่สุด และสั่งงานเก่งที่สุด แต่พอได้ทำงานไปสักพัก ผมถึงได้เข้าใจว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเลย!

ความหมายของภาวะผู้นำที่แท้จริง

ภาวะผู้นำ หรือ Leadership นั้น ไม่ใช่แค่การเป็นหัวหน้าหรือผู้จัดการเท่านั้น แต่มันคือความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ นำพาทีม และสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้เกิดขึ้นในองค์กรครับ

ตามที่ Peter Drucker นักคิดด้านการจัดการชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า "ภาวะผู้นำคือการทำสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนการจัดการคือการทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง" นี่แหละครับที่สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะผู้นำนั้นเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์และทิศทางขององค์กรมากกว่าแค่การบริหารจัดการงานประจำวัน

7 ขั้นตอนง่ายๆ สู่การเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม

ทีนี้ เรามาดูกันว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราพัฒนาภาวะผู้นำของตัวเองได้ ผมขอแชร์ 7 ขั้นตอนที่ผมได้เรียนรู้และนำมาใช้จนเห็นผลจริงเลยครับ

1. พัฒนา Mindset ของผู้นำ

การมี Mindset หรือกรอบความคิดที่ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากครับ ลองนึกถึงตอนที่เราเจอปัญหาในที่ทำงาน ถ้าเรามองว่ามันเป็น "อุปสรรค" เราก็จะรู้สึกท้อ แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็น "โอกาส" ในการเรียนรู้และพัฒนา เราก็จะมีพลังในการแก้ปัญหามากขึ้น

ผมเคยทำโปรเจกต์หนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีทางสำเร็จ แต่พอเปลี่ยนมุมมองว่านี่คือโอกาสในการคิดนอกกรอบ ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าประหลาดใจมากครับ เราไม่เพียงแต่แก้ปัญหาได้ แต่ยังได้นวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำไปใช้กับโปรเจกต์อื่นๆ ได้อีกด้วย

2. ฝึกฝนทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การสื่อสารที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของภาวะผู้นำครับ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง หรือการเขียน ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น

ลองนึกถึงตอนที่เราต้องนำเสนองานสำคัญ ถ้าเราสื่อสารได้ชัดเจน น่าสนใจ และตรงประเด็น โอกาสที่งานจะผ่านก็มีสูงใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเราพูดวกวน ไม่มีจุดเน้น ก็อาจทำให้คนฟังสับสนและไม่เข้าใจได้

ผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาครับ ตอนแรกๆ ที่ต้องนำเสนองานในที่ประชุมใหญ่ ผมก็ประหม่าและพูดวกไปวนมา แต่พอได้ฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคการนำเสนอที่ดี ผมก็สามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ

ความไว้วางใจเป็นรากฐานสำคัญของภาวะผู้นำครับ ถ้าทีมไม่ไว้ใจเรา ต่อให้เราเก่งแค่ไหนก็ยากที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้

วิธีง่ายๆ ในการสร้างความไว้วางใจคือ การทำตามที่พูดเสมอ (Walk the talk) ครับ ถ้าเราบอกว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แล้วไม่ทำตาม

ผมเคยทำงานกับผู้บริหารท่านหนึ่งที่พูดเสมอว่า "ทีมคือหัวใจของความสำเร็จ" แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของทีมเลย ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครอยากทำงานด้วย และองค์กรก็ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกล

4. พัฒนาทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหา

ในฐานะผู้นำ เราต้องเจอกับการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ต้องตัดสินใจภายใต้แรงกดดันและเวลาที่จำกัด

สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินทางเลือก และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่แค่ใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ชั่ววูบ

ผมเคยเจอสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนในโปรเจกต์ใหม่หรือไม่ แทนที่จะรีบตอบรับเพราะดูน่าสนใจ ผมเลือกที่จะรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลตอบแทน แล้วค่อยตัดสินใจ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็พิสูจน์ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

5. สร้างและพัฒนาทีมที่มีประสิทธิภาพ

ผู้นำที่ดีต้องรู้จักสร้างและพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งครับ นี่ไม่ได้หมายถึงแค่การหาคนเก่งๆ มาทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดี การส่งเสริมการเรียนรู้ และการสร้างแรงจูงใจให้ทีมด้วย

ตามที่ Simon Sinek นักเขียนและนักพูดชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า "ภาวะผู้นำไม่ใช่การเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่เป็นคนที่ทำให้คนอื่นเก่งขึ้น" นี่แหละครับที่สะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาทีมคือหน้าที่สำคัญของผู้นำ

ผมเองก็เคยทำโปรเจกต์ที่ต้องทำงานกับทีมที่มีความหลากหลายมาก ทั้งด้านทักษะ ประสบการณ์ และบุคลิกภาพ แทนที่จะพยายามควบคุมทุกอย่าง ผมเลือกที่จะเข้าใจจุดแข็งของแต่ละคน และมอบหมายงานที่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้คือ ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น

6. ส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

ในยุคที่เทคโนโลยีและ AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว การส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยครับ

ผู้นำที่ดีต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการคิดนอกกรอบ กล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ และไม่กลัวที่จะล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือบทเรียนที่ดีที่สุด

ผมเคยทำงานในบริษัทที่มีวัฒนธรรม "ไม่มีความคิดที่โง่เขลา" ทุกคนสามารถเสนอไอเดียได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกวิจารณ์หรือตำหนิ ผลลัพธ์ก็คือ เราได้นวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าให้กับบริษัทอย่างมาก นอกจากนี้ยังช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์ ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง

การส่งเสริมวัฒนธรรมแบบนี้ต้องเริ่มจากผู้นำที่เปิดกว้างและรับฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างจริงจัง ไม่ตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ความคิดของผู้อื่นในทันที แต่พยายามมองหาคุณค่าและโอกาสในทุกๆ ไอเดีย ผู้นำต้องสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและไว้วางใจกัน เพื่อให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

นอกจากนี้ ควรมีกระบวนการรวบรวมและพิจารณาไอเดียต่างๆ อย่างเป็นระบบ เช่น การจัดประชุมระดมสมอง การมีช่องทางรับฟังความคิดเห็นออนไลน์ หรือการจัดโครงการนวัตกรรมภายในองค์กร เพื่อให้ทุกความคิดได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง

สุดท้ายคือการให้รางวัลและยกย่องชมเชยผู้ที่เสนอไอเดียดีๆ แม้ว่าจะไม่ได้นำไปใช้จริงก็ตาม เพื่อสร้างแรงจูงใจและกำลังใจให้ทุกคนกล้าคิดนอกกรอบต่อไป

วัฒนธรรมแบบนี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กรในระยะยาว เพราะทำให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังช่วยดึงดูดและรักษาคนเก่งๆ ให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้นด้วย

7. พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ เป็นทักษะที่สำคัญมากสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบันครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุมอารมณ์ตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ของผู้อื่นด้วย

ตามที่ Daniel Goleman นักจิตวิทยาชื่อดังได้กล่าวไว้ว่า "ผู้นำที่มี EQ สูงสามารถสร้างบรรยากาศในการทำงานที่กระตุ้นให้พนักงานให้ความร่วมมือและทุ่มเทอย่างเต็มที่" นี่แสดงให้เห็นว่า EQ มีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของทีมและองค์กร

ผมเองก็เคยเจอสถานการณ์ที่ต้องจัดการกับความขัดแย้งในทีม ตอนแรกผมก็พยายามใช้เหตุผลอย่างเดียว แต่ไม่ได้ผล พอผมเริ่มใส่ใจความรู้สึกของแต่ละคนมากขึ้น พยายามเข้าใจมุมมองของทุกฝ่าย และสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ สถานการณ์ก็คลี่คลายลงได้อย่างน่าประหลาดใจ

การพัฒนา EQ สามารถทำได้หลายวิธี

1. ฝึกสังเกตอารมณ์ของตัวเอง: ลองจดบันทึกว่าในแต่ละวันเรารู้สึกอย่างไรบ้าง อะไรเป็นสาเหตุ และเราตอบสนองต่ออารมณ์นั้นอย่างไร

2. ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ: ไม่ใช่แค่ฟังคำพูด แต่สังเกตน้ำเสียง ภาษากาย และอารมณ์ของคู่สนทนาด้วย

3. ฝึกการเอาใจเขามาใส่ใจเรา: ลองมองสถานการณ์จากมุมมองของคนอื่น เพื่อเข้าใจความรู้สึกและแรงจูงใจของพวกเขา

4. ฝึกการจัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะกับตัวเอง เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการทำงานอดิเรก

5. ขอฟีดแบ็คจากคนรอบข้าง: ถามความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ชิดว่าเราจัดการกับอารมณ์และความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร

การพัฒนา EQ อาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ามากครับ ผู้นำที่มี EQ สูงจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จูงใจทีม และนำพาองค์กรผ่านความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ ถ้าเราฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่าเราจะสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของทุกคนได้อย่างแน่นอนครับ

การประยุกต์ใช้ทักษะภาวะผู้นำในสถานการณ์จริง

การพัฒนาภาวะผู้นำไม่ใช่แค่ทฤษฎีครับ แต่ต้องนำไปใช้ในสถานการณ์จริงด้วย โดยเฉพาะในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ลองมาดูตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจกันครับ:

กรณีศึกษา: ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการนำองค์กรผ่านวิกฤตโรคระบาด

ในช่วงการระบาดของ COVID-19 เราได้เห็นผู้นำหลายคนที่สามารถพาองค์กรฝ่าฟันวิกฤตไปได้อย่างน่าทึ่ง หนึ่งในนั้นคือ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft

Nadella ใช้ทักษะภาวะผู้นำหลายอย่างที่เราได้พูดถึงไปแล้ว เช่น:

1. การสื่อสารที่ชัดเจนและโปร่งใส: เขาสื่อสารกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์และแผนการรับมือขององค์กร

2. การตัดสินใจที่รวดเร็วและยืดหยุ่น: Microsoft เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ประกาศให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน และปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3. การส่งเสริมนวัตกรรม: Nadella กระตุ้นให้ทีมคิดค้นโซลูชันใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่วงวิกฤต เช่น การพัฒนา Microsoft Teams ให้รองรับการทำงานและการเรียนทางไกล

4. การแสดงความเห็นอกเห็นใจ: เขาให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจของพนักงาน โดยเพิ่มสวัสดิการด้านสุขภาพจิตและส่งเสริมการสร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว

ผลลัพธ์ก็คือ Microsoft ไม่เพียงแต่รอดพ้นวิกฤต แต่ยังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 40% ในปี 2020

เทคนิคการปรับตัวของผู้นำในยุค New Normal

นอกจากกรณีศึกษาแล้ว เรามาดูเทคนิคการปรับตัวของผู้นำในยุค New Normal กันบ้างนะครับ:

1. เน้นความยืดหยุ่นและความคล่องตัว: ผู้นำต้องพร้อมปรับเปลี่ยนแผนงานและกลยุทธ์อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

2. ส่งเสริมการทำงานแบบ Hybrid: ผสมผสานระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานทางไกล โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและความต้องการของพนักงาน

3. ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด: นำ AI และเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการสื่อสาร

4. เน้นการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง: ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน

5. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง: แม้จะทำงานแยกกัน แต่ต้องรักษาความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและทีม

6. ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจของพนักงาน: จัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

7. มุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าเวลาทำงาน: วัดผลงานจากผลลัพธ์และคุณภาพของงาน ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

การปรับตัวเหล่านี้อาจท้าทายสำหรับผู้นำหลายคน แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาตนเองและองค์กรให้แข็งแกร่งขึ้นครับ

การวัดผลและประเมินการพัฒนาภาวะผู้นำ

การพัฒนาภาวะผู้นำเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ดังนั้นการวัดผลและประเมินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็นความก้าวหน้าและพื้นที่ที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม

ตัวชี้วัดความสำเร็จของผู้นำ

ตัวชี้วัดที่สามารถใช้ประเมินความสำเร็จของผู้นำมีหลายอย่างครับ เช่น:

1. ผลการดำเนินงานของทีมและองค์กร: ดูจากตัวเลขทางธุรกิจ เช่น ยอดขาย กำไร หรือส่วนแบ่งการตลาด

2. อัตราการลาออกของพนักงาน: ผู้นำที่ดีมักจะรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ได้นาน

3. ความพึงพอใจของพนักงาน: สามารถวัดได้จากแบบสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน

4. ความสามารถในการบรรลุเป้าหมาย: ดูว่าทีมสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้มากน้อยเพียงใด

5. การพัฒนานวัตกรรม: จำนวนไอเดียใหม่ๆ หรือโครงการนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในองค์กร

6. ความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง: ดูว่าองค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้

Citations:

- Leadership Pitfalls to Avoid at All Costs , Written by: Staff Writers, Association of Equipment Manufacturers

- TRAITS, SKILLS, AND STYLES OF LEADERSHIP, James W. Holsinger, Jr.